ฺีBUSINESS INFORMATION TECHNOLOGY

ฺีBUSINESS INFORMATION TECHNOLOGY

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เทคโนโลยีสารสนเทศกับการดำเนินธุรกิจ


   


        ในปัจจุบัน... เทคโนโลยีสารสนเทศได้รับความสนใจ ซึ่งถูกนำเข้ามาใช้งานในหลายลักษณะและเกือบทุกธุรกิจ ทุกๆองค์กรทั้งของภาครัฐ ภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรของระบบข้อมูล การอำนวยความสะดวก การสื่อสารระหว่างองค์กร การโฆษณาประชาสัมพันธ์
        โดยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครือข่ายที่จะทำให้ข้อมูลข่าวสารที่มีจำนวนมาก สามารถเดินทางได้อย่างอิสระ บุคคลสามารถเข้าถึงและนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนาที่รวดเร็วทางเศรษฐกิจสังคม การเมืองและเทคโนโลยี เกิดการแข่งขันในเชิงธุรกิจ และตอนนี้ยิ่งมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจ AEC ก็ยิ่งมีการเติบโตและการเกิดใหม่ขององค์กรและหน่วยงานต่างๆ การแข่งกันระหว่างธุรกิจต้องเกิดขึ้นแน่นอน จึงจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีสาสนเทศเข้ามาเกี่ยวข้องในการดำเนินงาน เพื่อส่งผลให้ธุรกิจมีศักภาพในทุกด้าน ต่อสู้กับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นได้
        สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ ที่มีการเปิดสอนอยู่ ณ ปัจจุบัน ถือเป็นสาขาวิชาที่กำลังเติบโตในสายงานอาชีพธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การเรียนการสอนจะเน้นถึงเรื่องการพัฒนาองค์กร ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการจัดตั้งธุรกิจอยู่แล้ว แน่นอนว่าถ้ามีพื้นฐานเกี่ยวกับสารสนเทศไปบ้าง การประกอบธุรกิจก็เป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้น และนำไปสู่ชื่อเสียง ภาพลักษณ์ ข่ายงานที่ดี กว้างขึ้นและเป็นที่รู้จักของธุรกิจชั้นนำได้


ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อธุรกิจ

1.  ช่วยให้ผู้ที่ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศได้รวดเร็ว
     เพราะข้อมูลถูกจัดเก็บและบริหารอย่างเป็นระบบ ผู้บริหารเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วทันต่อความต้องการ

2.  ช่วยกำหนดเป้าหมายกลยุทธ์ การวางแผน ปฏิบัติการโดยผู้บริหาร
     สามารถนำข้อมูลมาใช้ดำเนินงานได้เลย เพราะสารสนเทศรวบรวมและจัดการเป็นระบบ ทำเกิดการประวัติการใช้งานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ได้ว่าแนวโน้มจะเป็นไปในลักษณะใด

3.  ช่วยตรวจสอบการดำเนินงาน
     เมื่อแผนงานดำเนินไปสักช่วงระยะหนึ่ง จะต้องนำผลการดำเนินงานบางส่วนมาประมวณผล และประเมิน แสดงให้เห็นว่าผลที่ได้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่

4.  ช่วยวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรค สาเหตุของปัญหา เพื่อหาวิธีควบคุมแก้ไข
     สารสนเทศที่ได้จากการประมวณผล จะช่วยให้ผู้บริหารวิเคราะห์ได้ว่ากำรดำเนินในแต่ละทางเลือก มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด จะวิเคราะห์ได้ว่าจะแก้ไขจุดปัญหาได้อย่างไร เพื่อปรับให้เข้ากับเป้าหมายที่วางไว้

5.  ลดค่าใช้จ่าย ลดเวลา แรงงาน
     เมื่อระบบสารสนเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ก็จะทำให้เกิดการลดแรงงาน บุคลากร การจ้างงานลงได้ ตลอดจนขั้นตอนการทำงาน ซึ่งผลที่ได้อาจออกมาเท่าเทียมหรือดีกว่าที่มีบุคลกรทำงาน 

     จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญในการบริหารจัดการภายในองค์กร ต้องการประสิทธิภาพของงาน เพราะสังคมโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การแข่งขันทางธุรกิจมีสูงมาก ซึ่งถ้าผู้บริหารไม่มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเลย ก็จะทำให้การเกิดธุรกิจใหม่นั้นเป็นไปได้ยาก อุปสรรคก็จะตามมา ลงทุนไปแล้วขาดทุน ไม่มีกำไร ซึ่งเป็นผลเสียต่อผู้บริหารแน่นอน 
     ส่วนเรื่องการรองรับของตลาดงาน สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ ก็เป็นอีกหนึ่งสาขาที่น่าเรียน เพราะเป็นที่น่าจับตามองของบรรดาองค์กรณ์ต่างๆ พูดง่ายๆคือใครๆก็อยากได้บุคลากรที่ทำงานเป็น มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีเข้าทำงาน สามารถที่จะผลิตงานที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดธุรกิจได้ เรื่องเงินเดือนนั้นไม่ต้องถาม ยิ่งความรู้ด้านเทคโนโลยีเยอะ คิดผลิตภัณฑ์ / บริการ ใหม่ๆได้ เงินเดือนยิ่งสูง ก็เลยอยากนำแนะให้ลองมาเรียนสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ คุณอาจจะเป็นผู้ผลิตนวัตกรรมใหม่ๆออกสู่ตลาดธุรกิจโลก ก็เป็นได้ ^^













www.rmutr.ac.th    เทคโนโลยีสารสนเทศ
       
 
   

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ ก้าวสู่สังคมการประกอบการ

       สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มทร.รัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล ผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ ก้าวสู่สังคมการประกอบการที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่ ยอมรับระดับชาติ 
     นักศึกษาทุกคนจะได้รับการอบรม ได้รับความรู้จากคณะอาจารย์ที่มีความรู้ทางด้านวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศโดยตรง มีการศึกษาดูงานจากสถานประกอบภายนอกจริง ให้นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติงานจริง สามารถที่จะสร้างสรรค์ผลงาน งานวิจัยต่างๆที่มีคุณค่า เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชน สถานประกอบการ สังคมได้
     นักศึกษาและคณะอาจารย์ เราอยู่กันแบบครอบครัว อาจารย์สามารถให้คำปรึกษาแก่นักศึกษาได้ ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ถ้าทำผิด มีข้อคิดเห็นก็สามารถบอกกล่าวได้ นี่คือสิ่งที่คณะอาจารย์ทุกท่านและสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจมอบให้แก่นักศึกษาทุกคน








"เทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ" เพราะเราผูกพัน เราคือครอบครัวเดียวกัน

เปิดโฉมโลโก้ใหม่ "กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม"

        
       "กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม" ชื่อกระทรวงใหม่ที่มาแทนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
      เป็นกระทรวงใหม่ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2559 โดยมีเนื้อหาหลักให้มีการปรับเปลี่ยนโอนย้าย เพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเดิมมาเป็นกระทรวงใหม่ที่มีชื่อว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งสาเหตุในการปรับเปลี่ยนครั้งนี้เนื่องจากต้องการให้มีการเพิ่มเติมบทบาทในส่วนของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รองรับการดำเนินการทางเศรษฐกิจดิจิทัล ขับเคลื่อนสังคมด้วยเทคโนโลยี และจากการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ก็ได้มีการเปิดเผยโลโก้ใหม่ที่กรมศิลปากรออกแบบให้ เป็นรูปพระพุธ พระหัตถ์ซ้ายถือคัมภีร์พระหัตถ์ขวาเปล่งรัศมี ดังที่ปรากฏด้วย


 ที่มา : prachachat



พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2559 

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ร้านค้าจะรับมือกับรีวิวแย่ๆ บนโลกออนไลน์อย่างไร


      ผู้ประกอบการปัจจุบันมักเจอกับปัญหารีวิวสินค้าแย่ๆ ในโลกออนไลน์ ซึ่งส่งผลต่อยอดขายและภาพลักษณ์ของสินค้า และผู้ประกอบการจำเป็นต้องรับมือกับสิ่งนี้ แต่จะรับมือแบบไหนดี วันนี้ก็มีเทคนิคดีๆ มาฝากกันแล้ว


    1. ประเมินสถานการณ์ และหาข้อเท็จจริงให้เร็วที่สุด
    ก่อนจะตอบกลับควรประเมินสถานการณ์หาข้อเท็จจริงให้ดีเสียก่อน ว่าเรื่องเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร รวมถึงช่องทางที่ผู้รีวิวใช้ เช่น เว็บอะไร เป็นต้น ดูความรุนแรงของรีวิวและจำนวนการแชร์ ผู้ที่โพสต์มีตัวตนหรือไม่ และเหตุการณ์ที่ถูกวิจารณ์เคยเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ มากน้อยหรือมีความถี่ในระดับใด
     2. ตอบกลับด้วยความสุภาพ 

     พยายามดึงเรื่องการพูดคุยให้อยู่ในสถานที่ปิด การตอบกลับควรทำในสถานที่ปิด เริ่มต้นโดยการชักชวนผู้รีวิวให้คุยแบบส่วนตัว เช่น inbox, email หรือโทรศัพท์ เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องราวบานปลาย และเมื่อพบปัญหาสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการแถ และควรใช้ถ้อยคำที่สุภาพ อธิบายให้ลูกค้าเข้าใจด้วยเหตุและผล หากผิดจริงต้องไม่ลืมที่จะกล่าวขอโทษเด็ดขาด และไม่ควรใช้คำพูดห้วนๆ หรือประชดประชัน
       3. หากเป็นเรื่องจริง ขอโทษและชี้แจงอย่างจริงใจ หากถูกโจมตี ให้ชี้แจงพร้อมเตรียมหลักฐาน
      อย่าละเลยการตอบรับรีวิวแย่ๆ โดยเด็ดขาด รีบหาข้อเท็จจริงว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร หากพบว่าผิดจริงควรแสดงความจริงใจ กล่าวคำขอโทษ แต่ถ้าหากพบว่าถูกโจมตีต้องชี้แจงโดยด่วน อย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะจะทำให้เสียภาพลักษณ์ซึ่งส่งผลในระยะยาว และหากพบว่าเป็นเรื่องโจมตีล้วนๆ ก็สามารถชี้แจง Report ได้สำหรับบางเว็บไซต์ เช่น pantip ที่สามารถร้องเรียนได้หากเป็นการกล่าวโจมตีไม่มีหลักฐาน และสามารถเอากระทู้ลงได้ หากผิดนโยบายจริง
       4. นำข้อผิดพลาดไปปรับปรุงให้ดีขึ้น 

      สื่อสารออกไปด้วยแคมเปญ หรือการประชาสัมพันธ์ เมื่อทราบข้อผิดพลาดของตัวเองแล้วควรนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น และอย่าลืมนำมาทำการตลาดเพื่อประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วไปรู้ถึงเรื่องที่ดีขึ้นของเรา
       5. จัดโครงการการตลาดกระตุ้นให้คนกลับมารีวิวอีกครั้ง
       อย่าลืมที่จะกระตุ้นให้ลูกค้ามารีวิวอีกครั้งเพื่อหักล้างกับภาพลักษณ์แย่ๆ จากรีวิวเดิมออกไป ให้รู้ว่าเราปรับปรุงแล้วจริงๆ และช่วยภาพลักษณ์ใหม่ให้กับแบรนด์ อาจจัดโครงการลดแลกแจกแถม ฯลฯ เพื่อแลกกับรีวิวใหม่ที่มาจากประสบการณ์ตรงของลูกค้า

      ทั้งหมดนี้ก็คือเทคนิคดีๆ ที่ช่วยในธุรกิจ e-Commerce ต่อการรับมือกับผลตอบรับที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในตลาด อย่าลืมนำไปใช้ให้เหมาะสมกับเวลาและโอกาส ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ 
>>>  E-COMMERCE StartUP! 







วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สิ่งสำคัญที่แบรนด์ไม่ควรทำบน Social Media ถ้าไม่อยากโดน Unfollow



         ปัจจุบัน Social Media เป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงลูกค้า เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่างๆ รวมไปถึงความเคลื่อนไหว ทั้งยังทำการค้าไปในตัว แต่รู้หรือไม่ว่าบางโพสต์หากมันมากเกินไป ก็ส่งผลเสียต่อการรับรู้ของผู้บริโภคได้เช่นกัน และทำให้ผู้บริโภครู้สึกไม่ชอบใจ จนกระทั่ง Unfollow ไปในที่สุด


       
       จากผลสำรวจของ Sprout Social ถึงความคิดเห็นของผู้บริโภคจำนวน 1,022 คน ในสหรัฐฯ ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่าอันดับ 1 ที่จะทำให้ผู้บริโภค Unfollow คือโพสต์ขายสินค้าหรือโปรโมชั่นมากเกินไป (46%) รองลงมาคือ Content ไม่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ หรือไม่ตรงกับความสนใจของผู้บริโภค (41.1%) นอกจากสาเหตุที่ผู้บริโภค Unfollow แล้ว ยังมีสาเหตุที่ทำให้รู้สึกรำคาญอีกด้วย เช่น การใช้คำสแลง หรือภาษาวิบัติ, การโพสต์โดยไม่มีเอกลักษณ์ของแบรนด์ และพยายามตลกทั้งๆ ที่ไม่ตลก/การเล่นมุกแป๊ก เป็นต้น
         ฉะนั้นไม่อยากให้ผู้บริโภค Unfollow หรือรู้สึกรำคาญอย่าพยายามทำในสิ่งที่กล่าวมาจะดีที่สุด ติดตามเทคนิคการค้าขายออนไลน์หรือการประกอบธุรกิจ e-Commerce ได้ที่นี่อย่างต่อเนื่อง ศึกษาเพิ่มเติมคลิก >>>    E-COMMERCE StartUP!




ข้อมูลโดย marketingoops.com


วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 แก้ไขล่าสุด

        พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 คือร่างแก้ใขของ พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2550 ที่ถูกปรับปรุงให้ทันสมัย เหมาะสมกับเวลาและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ดังนั้นโครงสร้างของกฎหมายสองฉบับจึงเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ และแน่นอนกฏหมายทั้งสองฉบับก็ต้องมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่หลายประเด็น และหลายๆ ประเด็นก็ถูกตั้งคำถามมากมายว่าเป็นธรรมหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่?
       พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 ถูกเริ่มร่างเมื่อปี 2558  และยังคงแก้ใขต่อเนื่องมาถึงปี 2559 ดังนั้น พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2558 ก็คือฉบับเดียวกันกับพ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 นั่นเอง

            ข้อแตกต่างระหว่าง พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2550 กับ พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559


                                                                         (ขอบคุณภาพจาก ilaw)



เนื้อหาสำคัญของ พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 ตามที่ Posttoday นำเสนอมีดังนี้
         การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันที่ 28 เมษายน 2559 ที่ผ่านมาได้มีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ …) พ.ศ… วาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ ซึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.ที่ปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนที่อยู่เดิมในพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
         ทั้งนี้ ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ระบุถึงเหตุผลที่ต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับปัจจุบันว่า “พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสมต่อการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน…….ซึ่งมีรูปแบบการกระทำความผิดที่มีความซับซ้อนมากขึ้นตามพัฒนาการทางเทคโนโลยี ซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”

สำหรับเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีสาระสำคัญดังนี้
มาตรา 4
 “ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้รับข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์สามารถบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพื่อปฏิเสธการตอบรับได้ อันเป็นการก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้รับ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท”
มาตรา 5
กำหนดว่า ถ้าผู้ใดกระทำผิดใน 5 ประการ ได้แก่
1.การเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกัน
2.นำมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะไปเปิดเผยโดยมิชอบ
3.ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน
4.ดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ และ
5.ส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น โดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว

      ทั้งหมดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-7 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 140,000 บาท ที่สำคัญ ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท
       ส่วนเรื่องการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสร้างความเสียหายให้กับบุคคล ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ได้มีกระบวนการจัดการกับผู้กระทำความผิดเข้มข้นมากขึ้นด้วย
       โดนบัญญัติในมาตรา 10 ว่า “ผู้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่นและภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท”
      มาตรา 10 ดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพื่อเพิ่มบทลงโทษให้มากขึ้นโดยให้ผู้กระทำผิดต้องรับทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ จากเดิมที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กำหนดการกระทำความผิดในลักษณะที่ว่านั้นด้วยการต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
        ขณะเดียวกัน ในร่างกฎหมายที่ ครม.เสนอให้ สนช.พิจารณา ยังได้บัญญัติมาตรการทางศาลเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายด้วย โดยมาตรา 11 ระบุว่า “ในคดีซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ศาลอาจสั่ง
(1) ให้ยึดและทำลายข้อมูล
(2) ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสื่อที่ใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ ตามที่ศาลเห็นสมควร โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา”
        เช่นเดียวกับ มาตรา 20 ที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแต่งตั้ง ยื่นคำร้องพร้อมแสดงหลักฐานต่อศาลขอให้มีคำสั่งระงับการเผยแพร่หรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ในที่นี้มีด้วยกัน 4 ประเภท ดังนี้
(1) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.นี้
(2) ข้อมูลที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรที่กำหนดไว้ในภาคสองลักษณะ 1 หรือลักษณะ 1/1 ตามประมวลกฎหมายอาญา
(3) ข้อที่เป็นความผิดอาญาต่อกฎหมายอื่นซึ่งเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนั้นได้ร้องขอ และข้อมูลนั้นมีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
(4) ข้อมูลที่ไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายอื่นแต่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรืออันดีของประชาชน ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่รัฐมนตรีมีมติเป็นเอกฉันท์




ในหลวงทรงสนับสนุนพระไตรปิฎกด้วยคอมพิวเตอร์


            พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสนับสนุนพระไตรปิฎกด้วยคอมพิวเตอร์ ริเริ่มจัดทำพระไตรปิฎกด้วยคอมพิวเตอร์ ทั้งยังทรงศึกษาตัวอักษรแขกอย่าลึกซึ้ง และมีการประดิษฐ์ตัวอักษรแขกด้วยคอมพิวเตอร์ด้วย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมองเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา จึงตั้งใจสืบทอดอย่างจริงจัง ทรงทำความเข้าใจในด้านภาษาแขกที่เผยแพร่มาจากประเทศอินเดีย และยากแก่ความเข้าใจ อาจนำไปสู่การตีความหมายแบบผิด ซึ่งพระองค์ก็ได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งจนแตกฉาน และนำมาซึ่งการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาพระไตรปิฎก 






            ทั้งยังได้มีการประดิษฐ์ฟอนต์ภาษาแขกขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความยากมากกว่าภาษาอื่่น ทรงสนับสนุนโครงการพระไตรปิฎกของมหาวิทยาลัยมหิดล และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน ๑,๔๗๒,๙๐๐ บาท ทรงเห็นว่าโครงการดังกล่าวควรได้รับการรวบรวมเอาชุดอรรถกถาและฎีกาเข้าไว้ด้วยกัน ทรงศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถาฉบับคอมพิวเตอร์นี้ด้วยพระองค์เอง และมีพระบรมราชวินิจฉัย และพระราชวิจารณ์ในการออกแบบโปรแกรมสำหรับใช้ในการสืบค้นข้อมูล

           โครงการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาพระไตรปิฎกในชื่อ BUDSIR IV ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจากโปรแกรม BUDSIR สามารถค้นหาคำศัพท์ได้ทุกคำ ทุกวลี ทุกพุทธวจนะ ที่มีปรากฏในพระไตรปิฎก จำนวน ๔๕ เล่ม หรือข้อมูลมากกว่า ๒๔.๓ ล้านตัวอักษร เอื้ออำนวยต่อการค้นคว้าพระไตรปิฎก ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ






ETDATHAILAND

ในหลวง ร.9 ทรงประดิษฐ์ฟอนท์ภาษาไทยในคอมพิวเตอร์


         พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงมีพระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ รอบด้าน รวมถึงด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ กระทั่งได้รับการยกย่องว่าเป็น "พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย" ทรงสนพระทัยในด้านคอมพิวเตอร์อย่างลึกซึ้ง โดยหนึ่งในผลงานของพระองค์คือ "การประดิษฐ์ฟอนท์อักษรภาษาไทยในคอมพิวเตอร์ด้วยพระองค์เอง






           ฟอนท์ไทยที่พระองค์ทรงออกแบบคือ แบบจิตรลดาและแบบภูพิงค์ โดยได้ทรงออกแบบผ่านโปรแกรม "Fontastic" ซึ่งนอกจากตัวอักษรฟอนท์ภาษาไทยแล้ว พระองค์ยังทรงออกแบบตัวอักษรภาษาอื่นด้วย เช่น ภาษาสันสกฤต และอักขระเทวนาครี (ภาษาแขก) ซึ่งฟอนต์เทวนาครีนี้มีความยากในการออกแบบที่ยากกว่าฟอนต์อื่นๆมาก เพราะ ตัวอักษรเทวนาครี หรือ ตัวอักษรแขกนั้น มีรูปแบบที่ไม่คงตัว เหมือนตัวตัวอักษรภาษาอื่นๆที่ทั่วโลกใช้กัน หรือกล่าวคือ ถ้านำส่วนหนึ่งของอักษรนำมาต่อรวมกับอีกส่วนหนึ่งของอักษร จะเกิดอักษรใหม่ขึ้นนั้นเอง นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงออกแบบ ส.ค.ส. ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ เพื่ออวยพรปีใหม่ให้แก่ประชาชนไทยด้วยทุกปี

      ได้มีประกาศจากสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ในฐานะที่ทรงเป็น "พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย" และกำหนดให้วันที่ ๑๙ ตุลาคมของทุกปีเป็น "วันเทคโนโลยีของไทย"

        นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานที่มาจากพระอัฉริยภาพของพระองค์ในด้านคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ทรงคิดค้นริเริ่มขึ้นมาเพื่อพัฒนาประเทศไทยในด้านต่างๆ สู้ความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทยทั้งชาติ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นอย่างหาที่สุดไม่ได้




".... ความเข้มแข็งในจิตใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องฝึกฝนแต่เล็ก เพราะว่าต่อไปถ้ามีชีวิตที่ลำบาก ไปประสบอุปสรรคใดๆ ถ้าไม่มีความเข็งแข็ง ไม่มีความรู้ ไม่มีทางที่จะผ่านอุปสรรคนั้นได้ เพระว่าถ้าไปเจออุปสรรคอะไร ก็ไม่มีอะไรที่จะมาช่วยได้ แต่ถ้ามีความรู้ มีอัธยาศัยที่ดีและมีความเข้มแข็ง ในกาย ในใจ ก็สามารถที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ นั้นได้ ...."

พระราชดำรัส.. ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
(พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนราชวินิต วันศุกร์ ๓๑ ต.ค. ๒๕๑๘)





วันเทคโนโลยีของไทย   



วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559

วันปิยมหาราช ๒๓ ตุลาคม

           


     เนื่องในวันปิยมหาราช ๒๓ ตุลาคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล ผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระผู้ทรงเป็นที่รักและสถิตย์อยู่ในใจของชาวไทยทั้งปวง


วันปิยมหาราช

        วันปิยมหาราช ตรงกับ วันที่ ๒๓ ตุลาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้าย วันสรรคตของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่ง ทุกปีจะมีการวางพวงมาลาดอกไม้ขึ้นที่พระบรมรูปทรงม้า และตามต่างจังหวัดท้องที่ต่างๆ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕”


ความเป็นมาของ "วันปิยมหาราช" 

          เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกให้กับประเทศไทยครั้งใหญ่หลวง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ประชวรเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นที่เคารพรักของทวยราษฎร์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการ ทั้งในการปกครองบ้านเมืองและพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชนทุกหมู่เหล่า

          ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทางราชการได้ประกาศให้วันที่ ๒๓ ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติเรียกว่า "วันปิยมหาราช" และกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ

          เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งต่อมาเป็น "กรุงเทพมหานคร" ร่วมด้วยกระทรวงวัง ซึ่งต่อมาเป็น "สำนักพระราชวัง" ได้จัดตกแต่งพระบรมราชานุสาวรีย์ ตั้งราชวัติฉัตร ๕ ชั้น ประดับโคมไฟ ทอดเครื่องราชสักการะที่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

          พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วันปิยมหาราช ครั้งแรกเกิดขึ้นถัดจากปีที่ได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายแล้วเสด็จฯ ไปถวายพวงมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะที่พระบรมราชานุสาวรีย์ 



พระราชกรณียกิจที่เกิดขึ้นในวันปิยมหาราช

๑. การเลิกทาส
๒. การปฏิรูประบบราชการ
๓. การสาธารณูปโภค
๔. การเสด็จประพาส
๕. การศึกษา
๖. การปกป้องประเทศจากการสงครามและเสียดินแดน








โครงการรวมพลังรวมพลคนหัวหินเดินไปบ้านพ่อ


         ในวันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2559 บุคลากรทางการศึกษา และนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล นำโดยผศ.นภาพร นาคทิม รองอธิการบดีวิทยาเขตวังไกลกังวล เข้าร่วมโครงการรวมพลังรวมพลคนหัวหินเดินไปบ้านพ่อ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อร่วมถวายความอาลัยและส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯสู่สวรรคาลัย 
           โดยจัดให้มีการตั้งขบวนจากสวนโผนกิ่งเพชรและออกเดินไปสู่ปลายทาง ณ บริเวณหน้าพระราชวังไกลกังวล  เมื่อถึงที่หมายประธานในพิธีและผู้ร่วมงานได้จุดเทียนถวายความอาลัยและร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงต้นไม้ของพ่อ และเพลงพ่อแห่งแผ่นดิน เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ที่มีต่อปวงชนชาวไทยตลอดมา








วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

โครงการฝึกอบรมการเขียนโครงการกิจกรรมนักศึกษา โดยใช้วงจรคุณภาพ PDCA







วันที่ 19-20 ตุลาคม 2559 สโมสรนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมการเขียนโครงการกิจกรรมนักศึกษา โดยใช้วงจรคุณภาพ PDCA โดยมี อ.นพดล สายคติกรณ์ และ อ.เพียงฤทัย หนูสวัสดิ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาสโมสรนักศึกษา เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ณ ตะนาวศรี รีสอร์ท อ.ปราณบุรี